บทสัมภาษณ์ 4 minutes 13 มกราคม 2023

“เรียนรู้ ทำงานหนัก ทำทุกวันให้ดีที่สุด” แรงบันดาลใจของเชฟ Davide Garavaglia ผู้คว้ารางวัล MICHELIN Guide Young Chef Award Presented by Blancpain

“ทำทุกวันให้ดีที่สุด เรียนรู้ที่จะเป็นเชฟที่ดีขึ้นในทุกวัน มอบความสุขให้กับลูกค้า นั่นคือเหตุผลหลักของทุกสิ่งที่เราทำในฐานะเชฟ”

ในงานประกาศรางวัลดาวมิชลิน ในคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ฉบับประเทศไทย ประจำปี 2566 ที่เพิ่งผ่านพ้นมานั้น หนึ่งในรางวัลที่หลายคนต่างก็ตั้งตารอลุ้นผลไม่แพ้รางวัลดาวมิชลินก็คือรางวัลพิเศษประจำปีอย่าง MICHELIN Young Chef Award Presented by Blancpain ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากแบรนด์นาฬิกาสัญชาติสวิสที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ซึ่งแน่นอนว่านี่เป็นรางวัลที่บรรดาเชฟรุ่นใหม่ทุกคนต่างก็ฝันอยากเป็นเจ้าของกันเลยทีเดียว เพราะเป็นบทพิสูจน์ความโดดเด่นให้แก่เชฟรุ่นเยาว์ผู้มีหัวใจรักในการทำอาหาร ซึ่งมีไฟฝันไม่หยุดยั้งที่จะพัฒนาตัวเอง และนำเสนอสิ่งใหม่ๆ มอบแก่วงการอาหาร ซึ่งตรงกับแก่นปรัชญาหลักของ “Blancpain” แบรนด์นาฬิกาสวิสชั้นนำที่สนับสนุนในเรื่องนวัตกรรม ทั้งยังให้คุณค่าแก่ผลงานอันน่าชื่นชมตลอดจนความสร้างสรรค์ที่โดดเด่นควรค่าแก่การฟูมฟักต่อยอดมาโดยตลอดอีกด้วย

ล่าสุดเมื่อผลผลประกาศออกมาว่าเชฟผู้คว้ารางวัลดังกล่าวประจำปีนี้คือ เชฟดาวิเด การาวาเกลีย (Davide Garavaglia) แห่งร้านอาหาร Côte by Mauro Colagreco ซึ่งเมื่อปีที่ผ่านมาตอนที่ร้านเพิ่งเปิดนั้น เชฟดาวิเดเองก็คว้าดาว 1 ดวงมาประดับร้านได้สำเร็จแทบในทันที ด้วยฝีมือที่เก่งกาจและโดดเด่นจึงทำให้เชฟหนุ่มชาวอิตาเลียนกลายเป็นเชฟรุ่นเยาว์ที่ได้รับการจับตามองที่สุดคนหนึ่งของวงการ จนในที่สุดก็ได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ ซึ่งเชฟดาวิเดได้กล่าวถึงความรู้สึกเมื่อทราบผลให้เราฟังว่า

“แน่นอนอยู่แล้วว่ารางวัลนี้ย่อมทำให้ผมมีความสุขมาก มันแสดงให้เห็นว่าเราประสบความสำเร็จจากสิ่งที่ทุ่มเทลงไป แต่ผมก็คิดว่ารางวัลนี้ไม่ใช่ความสำเร็จของผมเพียงคนเดียว เพราะเบื้องหลังความสำเร็จดังกล่าวเราทำงานกันเป็นทีม และมีผู้คนจำนวนไม่น้อยอยู่ข้างหลัง ที่คอยสนับสนุนผมอยู่ทุกวัน”

บางคนอาจจะฝันอยากเป็นเชฟตั้งแต่เด็กสมัยเข้าครัวกับคุณพ่อคุณแม่ตอนอายุได้เพียงไม่กี่ขวบ แต่สำหรับดาวิเดนั้นแตกต่างกันออกไป เชฟหนุ่มเจ้าของรางวัลเชฟรุ่นเยาว์ย้อนอดีตเล่าเส้นทางของตัวเองให้เราฟังว่า เขาเติบเติบโตในครอบครัวชาวอิตาเลียนธรรมดา ๆ และเรื่องความฝันอยากเป็นเชฟของตัวเองก็ไม่ได้โรแมนติกอะไรแบบนั้น แต่โชคชะตาก็นำทางให้เขาค้นพบเป้าหมายในชีวิตในที่สุด

“ตอนที่ผมยังเด็ก อายุ 13 ปี และเรียนหนังสืออยู่ ก็ยังไม่?ชัดเจนหรอกว่าโตขึ้นแล้วอยากเป็นอะไร จำได้ว่ามีช่วงหนึ่งที่ผมเคยอยากไปเรียนการบินที่โรงเรียนเอกชน แต่ตอนนั้นไม่มีเงินมากพอ ผมและเพื่อนจึงคุยกันว่าทำไมเราไม่ลองไปเรียนที่โรงเรียนสอนการโรงแรมกันดูล่ะ และหลังจาก 1 ปีผ่านไปผมก็รู้สึกตกหลุมรักงานนี้ การตัดสินใจครั้งนั้นทำให้ผมค้นพบว่าตัวเองมีสายสัมพันธ์กับการทำอาหาร การได้มีโอกาสเข้าครัวเรียนทำอาหารในแต่ละวันค่อยๆ ปลุกความทรงจำตอนยังเป็นเด็กของผมขึ้นมา ทำให้ผมจำตอนที่อยู่ในครัวกับคุณปู่สมัยยังเด็กได้ เหมือนกับว่าผมจำ ‘กลิ่น’ ในตอนนั้นได้ สมัยเด็กผมใช้เวลากับปู่ค่อนข้างเยอะ แล้วพอได้เรียน ได้ลงมือทำงานด้านนี้ 12 ชั่วโมงต่อวัน แต่ละวันที่ค่อย ๆ ผ่านไปก็สร้างแรงปรารถนาขึ้นมาในตัวผม ทำให้ตัดสินใจที่จะมุ่งมั่นเอาดีทางด้านนี้ ผมคิดว่านั่นคือตอนที่ผมตกหลุมรักอาชีพนี้”


หลังเรียนจบชายหนุ่มมีโอกาสทำงานเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่ร้านอาหารรางวัลสองดาวมิชลินนั่นคือร้าน D’O ของเชฟดาวิเด โอลดานี (Davide Oldani) ในมิลาน หลังจากนั้นจึงย้ายไปทำงานร้านซึ่งได้รางวัลสามดาวมิชลินอย่าง Sketch ในลอนดอน ของเชฟปีแยร์ กาแญร์ (Pierre Gagnaire) จนในปี 2015 เชฟดาวิเดก็ได้โคจรมาร่วมงานกับเชฟเมาโร โคลาเกรโค (Mauro Colagreco) ที่ร้าน Mirazur จนเมื่อเชฟเมาโรมีแผนทำร้าน Côte by Mauro Colagreco ที่กรุงเทพฯ เชฟมือขวาผู้ได้รับความไว้วางใจอย่างดาวิเดจึงได้รับมอบหมายให้มาดูแล เชฟหนุ่มชาวอิตาเลียนบอกกับเราว่าการที่ตัวเขาทำงานในสายงานเชฟโดยเฉพาะในร้านอาหารระดับชั้นนำเช่นนี้มาโดยตลอด ในบางแง่ก็เหมือนเป็นการต้องบรรลุและคงมาตรฐานระดับสูงของมิชลินให้ได้โดยปริยายเพื่อให้ได้รับการยอมรับ จากประสบการณ์และความสำเร็จทั้งหมดที่ได้รับ เราถามเขาว่ารู้สีกอย่างไรเมื่อมองย้อนกลับไปมองเส้นทางที่ผ่านมาจนมาถึง ณ จุด ที่ได้รับรางวัลเชฟรุ่นเยาว์อันทรงเกียรตินี้ และอะไรคือสิ่งสำคัญที่หล่อหลอมให้เขากลายมาเป็นเชฟผู้เก่งกาจได้อย่างทุกวันนี้

“ตอนนี้ผมอายุได้ 33 ปี แล้ว แต่บอกตามจริงเลยนะครับ ผมคิดว่าตัวเองไม่ได้ ‘เยาว์วัย’ อีกต่อไปแล้ว แต่ก็ดีใจมากที่ผมได้รางวัลนี้มา เพราะมันเป็นสิ่งที่ย้ำเตือนให้ผมเห็นถึงสิ่งที่เราได้ทุ่มเททำลงไป ไม่รู้สิผมก็แค่มีความสุขที่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก และก็ดีใจที่สิ่งที่เราทุ่มเททำไปนำความสำเร็จกลับคืนมาให้”

“เป้าหมายหลังจากนี้ผมอยากจะมอบความสุขให้กับผู้คนให้ได้ในทุกวัน เพราะพวกเขาคือเหตุผลของสิ่งที่เราทำในฐานะเชฟ”

“สำหรับผมสิ่งที่จะทำให้เราเป็นเชฟที่ดีและเก่งได้คือต้องหมั่นฝึกฝนเรียนรู้ เพราะการฝึกฝนเท่านั้นที่จะสามารถดึงสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในตัวของคนเราแต่ละคนให้ออกมาได้ การที่เราฝึกฝนก็เพื่อที่จะได้เข้าใจถึงข้อผิดพลาด และเรียนรู้วิธีแก้ไขมัน เพื่อให้สามารถทำได้ดีขึ้นในทุกวัน ๆ อย่างตัวผมเองโชคดีที่เรามีเชฟที่มีประสบการณ์เคยสั่งสอน คอยชี้ทาง และปล่อยให้ผมได้เรียนรู้จากข้อผิดพลาดจนเป็นเชฟที่ดีขึ้นในทุกวัน ดังนั้นถ้าจะตอบคำถามที่ว่าสิ่งที่ทำให้ใครสักคนเป็นเชฟที่ดีและเก่งกาจได้ก็คือการสอน การเรียนรู้ และหมั่นฝึกฝน ทำให้ดีขึ้นในทุกวัน”

“เป้าหมายหลังจากนี้ผมอยากจะมอบความสุขให้กับผู้คนให้ได้ในทุกวัน ผมหมายถึงมอบความพึงพอใจให้กับลูกค้า เพราะพวกเขาคือเหตุผลหลักของทุกสิ่งที่เราทำในฐานะเชฟ แต่แน่นอนว่ามันก็ต้องรวมถึงการสร้างสมดุลที่ดีให้กับทีมงานของเราด้วย เพราะผมเองก็อยากจะสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดีภายในครัว ผมอยากจะสร้างบรรยากาศของการทำงานที่ทำให้ทีมงานของเราสามารถแลกเปลี่ยนสื่อสารกันได้อย่างสร้างสรรค์ ให้เราทุกคนสามารถเรียนรู้ไปด้วยกันได้ เพราะเราเองก็ต้องมีความสุขกันด้วยจึงจะสามารถส่งมอบความสุขความพึงพอใจให้กับลูกค้าได้ รวมถึงพัฒนาผลงานของเราให้ดียิ่งขึ้นต่อไปได้”

สำหรับคำแนะนำที่เชฟดาวิเดอยากจะฝากไว้สำหรับเชฟรุ่นใหม่ ที่อยากจะประสบความสำเร็จเช่นเดียวกับตัวเขา เชฟหนุ่มย้ำแต่เพียงสั้น ๆ แต่เป็นจริงอย่างที่สุดว่า

“จงทำงานหนักและทำทุกวันให้ดีที่สุด”

Crucial Career Tips For Young Cooks By Davide Garavaglia, Winner Of MICHELIN Young Chef Award Presented By Blancpain4.jpg

สำหรับรางวัลที่มอบให้แก่เชฟรุ่นใหม่ผู้มีไฟฝันและน่าจับตามองนี้ สนับสนุนโดย “Blancpain” แบรนด์นาฬิกาเก่าแก่ที่สุดในโลกจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งตลอดระยะเวลาอันยาวนานที่ผ่านมาได้บ่มเพาะสายสัมพันธ์พิเศษอันแนบแน่นกับ โลกของอาหารชั้นสูงหรือ “Haute Cuisine” ร่วมกับเชฟชั้นนำมือรางวัลระดับโลกมายาวนานถึงกว่า 30 ปี

ทั้งนี้ “ความต่อเนื่องของนวัตกรรม” นั้นถือเป็นแก่นค่านิยมหลักอันเป็นธรรมเนียมสืบทอดของแบรนด์ Blancpain มาโดยตลอด คุณภาพของนาฬิกาสวิสแบรนด์นี้วางอยู่บนฐานของความรักความหลงใหล การปรับเปลี่ยนที่แม่นยำควบคู่ไปกับการผสมผสานความเป็นของแท้และดั้งเดิม รวมไปถึงความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ จนสามารถกล่าวได้ว่า “ช่างทำนาฬิกาและเชฟมือฉมังต่างก็มีความคล้ายคลึงกันตรงที่ต้องแสดงทักษะความสามารถอันน่าทึ่งในการคิดค้น รวมทั้งท้าทายขอบเขตของศาสตร์และศิลป์ในแขนงของตนเองอย่างไม่ลดละเพื่อสร้างสรรค์ผลงานชิ้นเอก ด้วยเชื่อมั่นว่าจิตวิญญาณแห่งนวัตกรรมคือกุญแจสู่ความสำเร็จ”

ที่ผ่านมา Blancpain ไม่เพียงมีบทบาทสำคัญในการยืนหยัดเคียงข้างเป็นผู้จับเวลาให้กับการแข่งขันทำอาหารซึ่งเป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับกันอย่างกว้างขวางเท่านั้น ทว่ายังรายล้อมไปด้วยมิตรสหายที่ผูกพันกันทั้งในอดีตและปัจจุบัน ซึ่งรวมถึงบรรดาเชฟยอดฝีมือจากร้านอาหารระดับรางวัลที่ครอบครองดาวมิชลินรวมกันกว่าร้อยดวง

ตลอดระยะเวลาอันยาวนาน “Blancpain” กับ ‘มิชลิน ไกด์’ ได้ร่วมกันเป็นพันธมิตรระดับโลก ส่งเสริมและสนับสนุนมาตรฐานความเป็นเลิศ ความหลงใหล และความเชี่ยวชาญรวมถึงปรัชญาที่มีร่วมกัน เช่นเดียวกับรางวัล MICHELIN Young Chef Award Presented by Blancpain ที่ทางแบรนด์ได้ผนึกกำลังกับคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ เสาะแสวงหาเชฟอนาคตไกลผู้มีความสามารถโดดเด่นที่สุดในแวดวงอาหารระดับนานาชาติ โดยรางวัลดังกล่าวมีความโดดเด่นตรงที่เป็นรางวัลซึ่งมอบให้แก่เชฟรุ่นเยาว์อายุไม่เกิน 36 ปีผู้เปี่ยมด้วยความสามารถ รวมถึงได้รับการยกย่องในความคิดสร้างสรรค์ที่สามารถรังสรรค์ประสบการณ์การรับประทานอาหารอันน่าจดจำตรึงตรา

รางวัล MICHELIN Young Chef Award Presented by Blancpain ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากแบรนด์นาฬิกาสวิสคุณภาพเยี่ยมอันเก่าแก่และเปี่ยมไปด้วยเรื่องราวแบรนด์นี้จึงถือเป็นเครื่องยืนยันความสำคัญที่มอบให้แก่เหล่าเชฟผู้กล้ารุ่นใหม่ ที่แผ้วถางแนวทางการสร้างสรรค์ด้วยการคิดนอกกรอบจนสามารถสร้างความแตกต่างให้แก่วงการอาหารระดับสูง ดังนั้นแทนที่จะเป็นเพียงรางวัลธรรมดาที่มอบให้แก่คนรุ่นใหม่ นี่จึงเป็นรางวัลอันทรงคุณค่าที่ปรารถนาจะส่งเสริมวงการอาหารของประเทศไทย โดยจูงใจให้เชฟรุ่นใหม่ที่มีอนาคตท้าทายก้าวข้ามขีดจำกัดของตน เพื่อรังสรรค์อาหารชั้นเลิศไม่ว่าจะในระดับประเทศหรือระดับโลก


บทสัมภาษณ์

ดูอย่างอื่นต่อ - เรื่องราวที่คุณอาจสนใจ